top of page
1.กาพย์ห่อโคลงประภาสธารทองแดง

กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง เป็นบทประพันธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อครั้นตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโดยชลมารคไปมนัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ทั้งนี้่คำว่าธารทองแดงเป็นชื่อลำน้ำที่เขาพระพุทธบาท ที่อยู่ในบริ เวณพระพุทธบาท อันเป็นที่รื่นรมย์ด้วยธรรมชาติ มีสัตว์ต่าง ๆ และพันธุ์ไม้ต่าง ๆ อยู่มากมาย

            นอกจากนี้ ที่แห่งนี้เป็นบริเวณที่ตั้งพระตำหนักธารเกษม ที่มีมาตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ในหนังสือปริทรรศน์แห่งวรรณคดีไทยของ "นายตารา ณ เมืองใต้" ซึ่งเรียบเรียงเมื่อ พ.ศ. 2484 เรียกชื่อวรรณคดีเรื่องนี้ว่า "กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง" ตามลักษณะคำประพันธ์และเนื้อเรื่อง
  
            ต่อมาเมื่อกรมศิลปากรอนุญาตให้นำเรื่องนี้ไปพิมพ์รวมกับพระนิพนธ์เรื่องอื่นของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เพื่อเผยแพร่ในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาเลขวณิชธรรมวิทกษ์ (เยี่ยม เลขะวณิช) ใน พ.ศ. 2505 ก็ได้เขียนคำนำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียกชื่อว่า นิราศ โดยเทียบกับชื่อพระนิพนธ์อีกเรื่องหนึ่งที่แต่งคู่กันคือ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเรื่องนี้มีชื่อว่ากาพย์ห่อโคลงนิราศธารทองแดง และเข้าใจเช่นนี้มาจนกระทังปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในหนังสือเรียนวรรณคดีวิจักษ์จะใช้ชื่อเดิมว่า กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง

2.โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

๑. สาระสำคัญ

         บุเรงนองยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  สมเด็จพระ

สุริโยทัยอัครมเหสีปลอมพระองค์เป็นอุปราชตามเสด็จออกทำสงครามด้วย เมื่อเห็นว่าพระราสวามีจะเพลี่ยงพล้ำในการทำยุทธหัตถีก็ไสช้างเข้าขวางจึงถูกพระแสงของ้าวของศัตรูสิ้นพระชนม์

๒.  ผู้พระราชนิพนธ์

         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

         พระราชประวัติสมเด็จพระสุริโยทัยทรงทำยุทธหัตถี

         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งชาวไทยถวายพระราชสมัญญาว่า สมเด็จพระปิยมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๕  ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕  พระนามเดิมสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์  กรมขุนพินิตประชานาถ   เป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชชนนี เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ  พ.ศ. ๒๔๑๑  สวรรคตเมื่อวันที่  ๒๓  ตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๕๓

         นอกจากจะทรงพระปรีชาสามารถในด้านการปกครองแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการประพันธ์อีกด้วย พระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วร้องกรองอาทิ พระราชพิธีสิบสองเดือน  ไกลบ้าน  เงาะป่า  ลิลิตนิทราชาคริต โคลงสุภาษิตต่าง ๆ และยังมีบทพระราชนิพนธ์อีกเป็นจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อการปกครองและวิชาการด้านต่าง ๆ

๓.  จุดประสงค์พระราชนิพนธ์

         ๓.๑  เพื่อสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง จนไปถึงเชิดชูเกียรติหมู่เสวกามาตย์ที่มีความกล้าหาญ สุจริตและความกตัญญูต่อแผ่นดิน

         ๓.๒  เพื่อให้เยาวชนเห็นคุณค่าของความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของวีรกษัตริย์ในอดีต

๔.  ที่มาของเรื่อง

         คัดมาจากหนังสือโคลงภาพระราชพงศาวดารเป็นโคลงบรรยายภาพที่ ๑๐  แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กล่าวถึงพระสุริโยทัยทรงประกอบวีรกรรมอันแสดงถึงพระคุณธรรมคือความกตัญญูและความเสียสละในการที่ได้ช่วยปกป้องพระมหาจักรพรรดิให้รอดพ้นจากอาวุธของข้าศึกด้วยการอุทิศชีวิตของพระองค์

๕.  เวลาที่ทรงพระราชนิพนธ์

         ในสมัยรัชกาลที่ ๕  (โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นมีจำนวน ๙๒ ภาพ โคลงที่แต่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๓๗๖ บท สร้างสำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐)

3.คำราชาศัพท์

คำราชาศัพท์ ความหมายของคำราชาศัพท์         คำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มีคำหลายรูปหลายเสียงในความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ขุนนาง ข้าราชการ สุภาพชน         บุคคลในกลุ่มที่ 1 และ 2 จะใช้ราชาศัพท์ชุดเดียวกัน เช่นเดียวกับบุคคลในกลุ่มที่ 4 และ 5 ก็ใช้คำราชาศัพท์ในชุดเดียวกันและเป็นคำราชาศัพท์ที่เราใช้อยู่เป็นประจำในสังคมมนุษย์เราถือว่าการให้เกียรติแก่บุคคลที่เป็นหัวหน้าชุมชน หรือผู้ที่ชุมชนเคารพนับถือนั้น เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกภาษา ต่างยกย่องให้เกียรติแก่ผู้เ ป็นประมุขของชุมชนด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นแทบทุกชาติ ทุกภาษาจึงต่างก็มี คำสุภาพ สำหรับใช้กับประมุขหรือผู้ที่เขาเคารพนับถือ จะมากน้อยย่อมสุดแต่ขนบประเพณีของชาติ และจิตใจของประชาชนในชาติว่ามีความเคารพในผู้เป็นประมุขเพียงใด เมืองไทยเราก็มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ และพระประมุขของเรา แต่ละพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความ เคารพสักการะอย่างสูงสุดและมีความจงรกภักดีอย่างแนบแน่นตลอดมานับตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันคำราชาศัพท์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด         ในแหล่งอ้างอิงบางฉบับได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ว่า คนไทยเริ่มใช้คำราชาศัพท์ในรัชสมัยพระธรรมราชาลิไท พระร่วงองค์ที่ 5 แห่งสุโขทัย เพราะศิลาจารึกต่างในแผ่นดินนั้น รวมทั้งบทพระราชนิพนธ์ของท่าน คือ ไตรภูมิพระร่วง ปรากฏว่ามีคำราชาศัพท์อยู่หลายคำ เช่น ราชอาสน์ พระสหาย สมเด็จ ราชกุมาร เสด็จ บังคม เสวยราชย์ ราชาภิเศก เป็นต้น         บางท่านกล่าวว่า คำราชาศัพท์นั้นเริ่มใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะพระปฐมบรมกษัตริย์ที่ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา ทรงนิยมเขมร ถึงกับเอาลัทธิและภาษาเขมรมาใช้ เช่น เอาคำว่า "สมเด็จ" ซึ่งเขมรใช้เป็นคำนำพระนามพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นคำนำพระนามของพระองค์ และใช้ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์         และจากหลักฐานที่พบข้อความในศิลาจารึกวัดศรีชุม กล่าวถึงเรื่องตั้งราชวงศ์และเมืองสุโขทัยตอนหนึ่งมีความว่า "พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเสกพ่ขุนบางกลางหาวใหเมืองสุโขไท" คำว่า "อภิเษก" นี้เป็นภาษาสันสกฤต ไทยเรารับมาใช้สำหรับพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งชั้นสูง จึงอยู่ในประเภทราชาศัพท์ และพิธีนี้มีมาตั้งแต่ราชวงศ์สุโขทัย จึงน่าสงสัยว่าในสมัยนั้นอาณาจักรสุโขทัยนี้ ก็คงจะมีการใช้คำราชาศัพท์บางคำกันแล้ว 
 

bottom of page