top of page
1.การเปลี่ยนเเปลงสมบัติของสาร

1. ประเภทของสารและการเปลี่ยนแปลง

 

สาร และ สมบัติของสาร
สสาร ( Matter ) หมายถึงสิ่งที่มีมวล ต้องการที่อยู่ และ สามารถสัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ ภายใน
สสารเป็นเนื้อของสสาร เรียกว่า สาร ( Substance ) 
สาร ( Substance ) คือ สสารที่ทราบสมบัติ หรือ สสารที่จะศึกษา ดังนั้นจึงเป็นสสารที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมีสมบัติของสาร
2 ประเภท คือ 
- สมบัติกายภาพ ( Physical Property ) หมายถึง สมบัติที่สังเกตได้จากลักษณะภายนอก และ เกี่ยวกับวิธีการทางฟิสิกส์ เช่น 
ความหนาแน่น , จุดเดือด , จุดหลอมเหลว
- สมบัติทางเคมี ( Chemistry Property ) หมายถึง สมบัติที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาเคมี เช่น การติดไฟ , การเป็นสนิม , ความเป็น
กรด - เบส ของสาร

การเปลี่ยนแปลงสาร
การเปลี่ยนแปลงสาร แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 
- การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ( Physical Change ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารที่เกี่ยวกับสมบัติกายภาพ โดยไม่มีผลต่อ
องค์ประกอบภายใน และ ไม่เกิดสารใหม่ เช่น การเปลี่ยนสถานะ , การละลายน้ำ 
- การเปลี่ยนแปลงทางทางเคมี ( Chemistry Change ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารที่เกี่ยวข้องกับสมบัติทางเคมี

ซึ่งมีผลต่อองค์ประกอบภายใน และจะมีสมบัติต่างไปจากเดิม นั่นคือ การเกิดสาร

ใหม่ เช่น กรดเกลือ ( HCl ) ทำปฏิกิริยากับลวดแมกนีเซียม ( Mg ) แล้วเกิดสารใหม่
 
คือ ก๊าซไฮโดรเจน ( H2 ) 

 

 

การจัดจำแนกสาร 
จะสามารถจำแนกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่
1. การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 
- สถานะที่เป็นของแข็ง ( Solid ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น ด่างทับทิม ( KMnO4 )
, ทองแดง ( Cu ) 
- สถานะที่เป็นของเหลว ( Liquid ) จะมีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ และ มีปริมาตรที่คงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดกันน้อยกว่า
ของแข็ง และ มีสมบัติเป็นของไหล เช่น น้ำมัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท ( Hg ) ฯลฯ 
- สถานะที่เป็นก๊าซ ( Gas ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรที่ไม่คงที่ โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคภายในจะอยู่ 
ห่างกันมากที่สุด และ มีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม , อากาศ
2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมีสมบัติทางกายภาพของสารที่ได้จากการสังเกตลักษณะความแตกต่างของเนื้อสาร ซึ่งจะจำแนก
ได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 
- สารเนื้อเดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ทำให้สารมีสมบัติเหมือนกัน
ตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ ( Au ) , โลหะบัดกรี 
- สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะทำให้สารนั้นมีสมบัติ 
ไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ
3. การละลายน้ำเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 
- สารที่ละลายน้ำได้ เช่น เกลือแกง ( NaCl ) , ด่างทับทิม ( KMnO4 ) ฯลฯ 
- สารที่ละลายน้ำได้บ้าง เช่น ก๊าซคลอรีน ( Cl2 ) , ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) ฯลฯ
- สารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ เช่น กำมะถัน ( S8 ) , เหล็ก ( Fe ) ฯลฯ 
4. การนำไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 
- สารที่นำไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง ( Cu ) , น้ำเกลือ ฯลฯ
- สารที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น หินปูน ( CaCO3 ) , ก๊าซออกซิเจน ( O2 )

5.ใช้ความเป็นโลหะเป็นเกณฑ์ ใช้ความเป็นโลหะเป็นเกณ์ แบ่งสารออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
•โลหะ (metal) เช่น ทองคำ(Au) ทองแดง(Cu) เงิน(Ag) 
เหล็ก(Fe) ปรอท(Hg) สังกะสี(Zn) ดีบุก(Sn) ตะกั่ว(Pb) โซเดียม(Na) แมกนีเซียม

(Mg) เป็นต้น
•อโลหะ (non - metal) เช่น คาร์บอน(C) ฟอสฟอรัส(P) กำมะถัน(S) ออกซิเจน(O) ไฮโดรเจน(H) ฮีเลียม(He) คลอรีน(Cl) เป็นต้น
•กึ่งโลหะ (metalloid) เช่น ซิลิคอน(Si) ซีลิเนียม(Se) เจอร์เมเนียม(Ge) อาร์เซนิก(As) เป็นต้น

2.ส่วนประกอบของโลก

ส่วนประกอบของโลก         

                โลกเรามีรูปร่างเป็นทรงกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลางจากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ยาวประมาณ 12,711 กิโลเมตรและเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีค่าประมาณ 12,755 กิโลเมตรขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นั้น แกนของโลกจะเอียงทำมุมประมาณ 23 องศาทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ นอกเขตร้อน

 

 

1.เปลือกโลก (earth crust) เป็นชั้นที่อยู่นอกสุดของโลกมีความหนาน้อยที่สุดประมาณ 6-35 กิโลเมตรประกอบด้วยแผ่นดินและแผ่นน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือเปลือกโลกส่วนบนและเปลือกโลกส่วนล่าง
>เปลือกโลกส่วนบนเป็นส่วนนอกสุดประกอบด้วยชั้นดินและหินไซอัล (sial) ที่เป็นหินแกรนิตส่วนใหญ่ประกอบด้วยซิลิกา (silica) และอลูมินา (alumina)
>เปลือกโลกส่วนล่างเป็นส่วนที่เป็นมหาสมุทร ประกอบด้วยหินไซมา (sima) ที่เป็นหินบะซอลต์ประกอบด้วยซิลิกา (silica) และแมกนีเซียม (magnesium)
2.แมนเทิล (mantle) เป็นชั้นของโลกที่อยู่ลึกจากชั้นเปลือกโลก ประกอบด้วยหินและแร่หลายชนิด เช่นหินอัลตราเบสิก หินเพริโดไทต์ ซึ่งเป็นหินอัคนี และหินหลอมเหลวซึ่งเรียกว่า"หินหนืด"มีอุณหภูมิประมาณ 2,000 องศาเซลเซียส มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร
3.แก่นโลก (core) อยู่ชั้นในสุดหรือเป็นแก่นกลางของโลก แบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นแก่นโลกนอกเป็นชั้นของเหลวที่ร้อนจัด และแก่นโลกในเป็นชั้นของแข็งประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิเกิล แก่นโลกมีความหนามากประมาณ 3,440 กิโลเมตรมีอุณหภูมิสูงประมาณ 5,000 องศาเซลเซียส

3.ระบบย่อยอาหารของมนุษย์เเละสัตว์

 ระบบย่อยอาหารของคน

อาหารประเภทต่างๆที่เราบริโภคโดยเฉพาะสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย คือคาร์โบไฮเดรตโปรตีน
และไขมันล้วนแต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะลำเลียงเข้าสู่เซลล์ส่วนต่างๆของร่างกายได้ ยกเว้นวิตามิน
และเกลือแร่ซึ่งมีอนุภาคขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องมีอวัยวะและกลไกการทำงานต่างๆที่จะทำให้
โมเลกุลของสารอาหาร เหล่านั้นมีขนาดเล็กลงจนสามารถลำเลียงเข้าสู่เซลล์ได้ เรียกว่า “ การย่อย ”

การย่อยอาหาร Digestion  หมายถึง  การทำให้สารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนกระทั่งแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ การย่อยอาหารในร่างกายมี 2 วิธี คือ
1. การย่อยเชิงกล    คือการบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลทำให้สารอาหารมีขนาดเล็กลง
2. การย่อยเชิงเคมี   คือการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารโดยใช้เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องทำให้โมเลกุลของ
สารอาหารเกิดการเปลียนแปลงทางเคมีได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง

                                                                        

ระบบการย่อยอาหารของสัตว์

สัตว์แต่ละชนิดมีการนำสารอาหารเข้าสู่ร่างกายและย่อยอาหารอย่างไร

การย่อยอาหารของสัตว์บางชนิด

สัตว์บางชนิด  เช่น  ฟองน้ำไม่มีระบบทางเดินอาหาร  แต่จะมีเซลล์พิเศษทำหน้าที่จับอาหารเข้าสู่เซลล์แล้วทำการย่อยภายในเซลล์สัตว์บางชนิดมีระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์  เนื่องจากมีช่องเปิดทางเดียว เช่น ไฮดรา พลานาเรีย

สัตว์บางชนิดเช่น  ไส้เดือนดิน แมลงและสัตว์มีกระดูกสันหลังมีระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์  คือมีปากและทวารหนัก  ระบบทางเดินอาหารของสัตว์เหล่านี้จะมีโครงสร้างรายละเอียดบางอย่างแตกต่างกัน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารและพฤติกรรมการกิน

  1. การย่อยอาหารของสัตว์บางชนิดที่ไม่มีกระดูกสันหลัง

1.1  การย่อยอาหารของสัตว์บางชนิดที่ไม่มีทางเดินอาหาร

                ฟองน้ำ (Sponge)  เป็นสัตว์ในไฟลัมพอริเฟอรา  ไม่มีปากและทวารหนักที่แท้จริง  ทางเดินอาหารเป็นแบบร่างแห (Channel network)  ซึ่งไม่ใช่ทางเดินอาหารที่แท้จริง  เป็นเพียงรูเปิดเล็กๆ ข้างลำตัว  เรียกว่า ออสเทีย (Ostia)  ทำหน้าที่เป็นทางน้ำไหลเข้าสู่ลำตัวฟองน้ำเป็นการนำอาหารเข้าสู่ลำตัว  ส่วนรูเปิดด้านบนลำตัว เรียกว่า ออสคิวลัม(Osculum) ทำหน้าที่เป็นทางน้ำออก ผนังด้านในมีเซลล์พิเศษ เรียกว่า เซลล์โคแอนโนไซต์ (Choanocyte) โบกพัดเซลล์อยู่ตลอดเวลา  ทำให้เกิดการไหลเวียนของอาหาร ตัวเซลล์โคแอนโนไซต์นำอาหารเข้าสู่เซลล์โดยฟาโกไซโทซีส(Phagocytosis)เกิดเป็นฟูดแวคิวโอลและมีการย่อยอาหารภายในฟูดแวคิวโอลนอกจากนี้ยังพบเซลล์ บริเวณใกล้กับเซลล์โคแอโนไซต์มีลักษณะคล้ายอะมีบา เรียกว่า อะมีโบไซต์ (Amoebocyte)  สามารถนำสารอินทรีย์ขนาดเล็กเข้าสู่เซลล์และย่อยอาหารภายในเซลล์แล้วส่งอาหารที่ย่อยแล้วไปยังเซลล์อื่นได้

4.เเสงและการมองเห็น

1.เลนส์

1.เลนส์คือ วัตถุ โปร่งใส มีผิวหน้าโค้ง(ทำาจากแก้วหรือพลาสติก)

2.เลนส์นูน

มีตรงกลางหนากว่าส่วนขอบ มีสมบัติรวมแสง ใช้ทำา กล้องถ่ายรูป กล้องโทรทรรศน์กล้องจุลทรรศน์กล้องส่องทางไกล แว่นขยาย เครื่องฉาย และ

แว่นสายตายาว

3.เลนส์เว้า

มีตรงกลางบางกว่าส่วนขอบ มีสมบัติกระจายแสง ใช้ทำา

แว่นสายตาสั้น

4.เลนส์นูน

สามารถทำาให้เกิดภาพจริง ขนาดเล็กเท่า

-ใหญ่กว่าวัตถุและภาพเสมือน ขนาดใหญ่กว่าวัตถุแล้วแต่ตำาแหน่งของวัตถุ

5.เลนส์เว้ า

สามารถทำาให้เกิดภาพเสมือน ขนาดเล็กกว่าวัตถุ เสมอ

6.ภาพจริง

เป็นภาพหัวกลับ สามารถใช้ฉากรับได้ จะเกิดที่หลังเลนส์

7.ภาพเสมือน

เป็นภาพหัวตั้ง ไม่สามารถใช้ฉากรับได้ จะเกิดที่หน้าเลนส์

8.ภาพจริง

เกิดจากรังสีแสงสองเส้นตัดกันจริงภาพเสมือนเกิดจากรังสีแสงสองเส้นไม่ตัดกันจริงแต่เสมือนว่ามาตัดกัน

9.เลนส์นูนมี3ประเภท คือ เลนส์นูน

2หน้า แกมระนาบ และแกมเว้าเลนส์เว้ ามี3ประเภทเช่นเดียวกัน คือ เลนส์เว้า2หน้า แกมระนาบ แลแกนูน

10.แกนมุขสำ าคัญ

คือ เส้นตรงที่ลากผ่านกึ่งกลางเลนส์ และจุดศูนย์กลางความโค้งของเลนส์

2.กระจกมี3ประเภท คือกระจกระนาบ กระจกนูน และกระจกเว้า

2.กระจกระนาบคือกระจกที่แบนราบ มีด้านหน้าเป็นมันเงา และด้านหลังฉาบเงินหรือปรอท

3.กฏการสะท้อนของแสงกล่าวว่า

1.รังสีตกกระทบ เส้นปกติและรังสีสะท้อนอยู่บนระนาบเดียวกัน

bottom of page